วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

ข่าวเเละเกร็ดคสามรู้

เครื่องพิมพ์3มิติเป็นหนทางที่ดีสำหรับสร้างเเม่เหล็ก

อุปกรณ์แม่เหล็กเหล่านี้ไม่เหมือนกับแม่เหล็กที่พวกเราใช้ติดหน้าตู้เย็น แม่เหล็กเหล่านี้ทำจากวัตถุ rare earth ซึ่งเป็นกลุ่มของธาตุโลหะที่มีแนวโน้มหาได้ยากและยากต่อการทำเหมืองในปริมาณมาก จึงทำให้มีมูลค่าที่สูงมาก ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์อยากที่จะหาวิธีการใช้งานธาตุในกลุ่มนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Parans Paranthaman เป็นนักวัสดุศาสตร์จาก Oak Ridge National Laboratory ใน Tennessee กลุ่มของเขาทำการค้นหาหนทางเพื่อจะสร้างแม่เหล็กที่มีพลังงานสูงในรูปแบบหรือขนาดใดๆก็ตาม นักวิจัยเหล่านี้ใช้การผลิตแบบพิเศษเพิ่มเติม ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการพิมพ์แบบสามมิติที่เครื่องมือสามารถทำการพิมพ์วัสุดของแข็งโดยการสร้างตัวมันเองเป็นชั้นๆ จากล่างขึ้นบน
อุปกรณ์ชนิดใหม่นี้บ่อยครั้งต้องการรูปแบบของแม่เหล็กที่สั่งทำจำเพาะ หนึ่งในข้อดีของการพิมพ์แบบสามมิติคือมันทำให้พวกเราออกแบบรูปแบบของแม่เหล็กได้ตามที่เราต้องการ
“ด้วยการผลิตรูปแบบนี้ทำให้คุณสามารถสร้างแม่เหล็กเหล่านี้ได้ในรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นมากกว่าเครื่องมือแบบปกติทั่วไป” Randy Bowman กล่าว เขาทำการศึกษาแม่เหล็กที่ NASA's Glenn Research Center ใน Cleveland, Ohio และเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาในครั้งนี้
Paranthaman และทีมวิจัยของเขาทำการพิมพ์แม่เหล็กที่เชื่อมต่อกัน นั่นหมายถึงพวกเขาบรรจุผงแม่เหล็กลงไปด้วยกันกับพอลิเมอร์ การรวมวัสดุที่เป็นแม่เหล็กลงไปบางส่วนในพอลิเมอร์นั้นหมายถึงแม่เหล็กที่เชื่อมต่อกันนั้นจะไม่ถูกทำลายได้ง่ายๆเหมือนกับแม่เหล็กเดี่ยวๆ
แม่เหล็กที่เชื่อมกันนั้นโดยปกติจะถูกทำขึ้นมากจากเทคนิคที่เรียกว่าการขึ้นรูปแบบอัดฉีด กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับความร้อนที่ทำให้วัสดุแม่เหล็กนั้นหลอมจนกลายเป็นของเหลวหลังจากนั้นจะใช้แรงอัดให้ได้ตามรูปแบบที่ต้องการ เมื่อของเหลวถูกทำให้เย็นตัวลง มันจะแข็งตัวและอยู่ในรูปแบบที่ต้องการ การขึ้นรูปแบบอัดฉีดมีประโยชน์อย่างมากต่อการขึ้นรูปแม่เหล็กจำนวนมากที่มีลักษณะรูปร่างเหมือนกัน แต่มันไม่เหมาะกับการผลิตแม่เหล็กที่มีปริมาณน้อย นั่นเป็นเพราะว่ามันต้องใช้เวลา เงิน และวัสดุในการสร้างแบบ ก่อนที่แม่เหล็กชิ้นแรกจะถูกทำขึ้น การสร้างแบบสำหรับการทำการอัดฉีดขึ้นรูปนั้นมีราคาที่สูงมากเทียบได้กับการทำเครื่องถ่ายเอกสารหนึ่งเครื่องเพื่อทำการคัดลอกกระดาษหนึ่งแผ่น
“แม่เหล็กถาวรยังสามารถที่จะทำได้โดยผ่านกระบวนการ sintering อนุภาคของโลหะจะถูกทำให้ร้อนขึ้นและบีบอัดเข้าด้วยกันจนกระทั่งพวกมันรวมติดกัน ซึ่งกระบวนการนี้จะมีการตัดแต่งให้ได้ตามรูปแบบที่ต้องการ” Paranthaman กล่าวว่า “กระบวนการ sintering ก่อให้เกิดของเสียได้มากถึงครึ่งหนึ่งของวัตถุดิบ”
อย่างไรก็ตามการพิมพ์แบบสามมิตินั้นเหมาะกับการผลิตในขนาดเล็ก กระบวนการนี้ทำให้ผู้ผลิตสามารถพิมพ์แม่เหล็กและทำการทดสอบพวกมันได้ การทดสอบเหล่านี้ช่วยให้พวกเขาหาได้ว่ารูปแบบที่ดีที่สุดของแม่เหล็กก่อนที่จะทำการสร้างแบบเพื่อลดปัญหาต่างๆเป็นอย่างไร การพิมพ์แบบสามมิติยังมีประโยชน์ต่อบริษัทที่ต้องการสร้างแม่เหล็กในจำนวนน้อยๆเท่านั้นอีกด้วย และเนื่องจากการพิมพ์แบบสามมิตินั้นสามารถสร้างวัสดุที่มีรูปแบบนั้นๆได้โดยตรง การสูญเสียวัตถุดิบจะมีน้อยมาก
ในการที่จะสร้างกระบวนการผลิตแบบพิมพ์สามมิติ Paranthaman และทีมวิจัยของเขาใช้เวลากว่าสองปีในการทดสอบ ในตอนนี้พวกเขาได้ทำการสร้างรูปแบบของการขึ้นรูปแม่เหล็กขึ้น
สิ่งท้าทายสำหรับการพิมพ์แม่เหล็กนั้นยังมีอยู่ สิ่งท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคืออุณหภูมิ ที่อุณหภูมิสูงเมื่อมอเตอร์ทำงานอยู่นั้น สนามแม่เหล็กจะเริ่มอ่อนลง ดังนั้นเป้าหมายของเขาคือการออกแบบแม่เหล็กที่มีประสิทธิภาพสูงที่ทำงานได้แม้ว่าจะอยู่ในอุณหภูมิที่สูงขึ้นก็ตาม

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

หนุ่มไม่กลัวตาย ทดลองระเบิดแตงโมข้าง ๆ ตัวเอง ผลจะเป็นอย่างไร...

เมื่อหนุ่มฝรั่งทำการทดลองสุดบ้าระห่ำ ด้วยการระเบิดระเบิดแตงโมข้าง ๆ ตัวเอง มาดูกันว่าผลการทดลองจะออกมาเป็นอย่างไร...
เปิดคลิปการทดลองจากยูทูบแชนแนล The Slow Mo Guys โดยที่สองหนุ่มฝรั่งจะทำการทดลองในแบบชนิดว่า...บ้าระห่ำสุด ๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยการระเบิดแตงโมที่ถ่ายทำแบบสโลว์โมชั่น อีกทั้งยังมีหนึ่งหนุ่มใจกล้า ยอมเสี่ยงตัวเองไปนั่งข้าง ๆ แตงโมด้วย ผลที่ออกมาก็คือ...แตงโมกระเด็นไปโดนหน้าหนุ่มผู้เสี่ยงตายนั่นเอง ซึ่งการทดลองนี้เป็นการทดลองที่อันตรายมาก ๆ ฉะนั้นดูแล้ว ห้ามลอกเลียนแบบโดยเด็ดขาด
ขอบคุณข้อมูลจาก Youtube The Slow Mo Guyshttps://youtu.be/hMjL76obRLI

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

สิงโต 2 พี่น้อง เกิดด้วยวิธีผสมเทียม ครั้งแรกในโลก นับเป็นก้าวสำคัญแห่งการอนุรักษ์
นักวิทยาศาสตร์แอฟริกาใต้ ผสมเทียมลูกสิงโตได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก โดยเป็นลูกสิงโต 2 ตัว เพศผู้และเมีย ร่างกายแข็งแรง รายงานเผย นับเป็นก้าวสำคัญในการอนุรักษ์สายพันธ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในอนาคต
ผสมเทียมลูกสิงโต
ภาพจาก ucc-biobank.org
 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญประจำสถานบันวิจัยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มหาวิทยาลัยพริทอเรีย ประเทศแอฟริกา ประสบความสำเร็จในการเพาะลูกสิงโตคู่แรกในโลก ด้วยวิธีผสมเทียม หรือไอวีเอฟ (IVF - In Vitro Fertilization) โดยเจ้าหน้าที่ได้ฉีดน้ำเชื้อเข้าไปผสมในมดลูกของสิงโตแอฟริกันเพศเมีย มันตั้งท้องและออกลูกสิงโตเพศผู้และเพศเมียออกมอย่างละตัว การทดลองครั้งนี้ได้สร้างความหวังใหม่ในการอนุรักษ์สายพันธุ์เจ้าป่าในอนาคต และอาจนำไปสู่การทดลองผสมเทียมนักล่าตระกูลแมวชนิดอื่น ๆ ที่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น เสือดาวหิมะ ได้อีกด้วย
ลูกสิงโตทั้งสองลืมตาดูโลกที่ศูนย์อนุรักษ์และวิจัยสายพันธ์สัตว์ป่าอูคูตูลา ในพื้นที่จังหวัดนอร์ทเวสต์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศแอฟริกาใต้ พวกมันสุขภาพแข็งแรงดีมาก สร้างความปลาบปลื้มและยินดีให้แก่เหล่าเจ้าหน้าที่ทุก ๆ คนเป็นอย่างยิ่ง โดย วิลลี่ โจนส์ วัย 60 ปี ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้ตั้งชื่อพวกมันว่า วิกเตอร์ และ อิสซาเบล ตามชื่อ ดร.อิสซาเบล กาเญเอลตา นักวิจัยหลักประจำโครงการ ผู้ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ และชื่อคู่หมั้นของเธอ

ข่าวเเละเกร็ดความรู้


สารเคมีรั่วไหล พนักงานหมดสติ จ.สมุทรปราการ
เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันปฐมพยาบาลพนักงานที่สูดดมกำมะถัน หลังจากมีพนักงานทำหกลงกับพื้นด้านหลังโรงงานเครื่องประดับ ริมถนนสายตำหรุ-บางพลี ตำบลแพรกษาใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเหตุให้พนักงานที่อยู่ในที่เกิดเหตุทั้งหมดมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียน ต้องนำตัวออกมาพักที่ด้านนอก

สอบถาม นายพิเชษฐ ดำรงค์ชาติไทย อายุ 39 ปี เป็นพนักงานและเป็นคนคุมงานช่าง บอกว่า โรงงานเพิ่งจะเปิดใหม่ กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการ ก่อนเกิดเหตุได้พาลูกน้องเติมกรดกำมะถันลงในถังน้ำ เพื่อผสมกันนำไปขัดเช็ดถูกับชิ้นงานเครื่องประดับ แต่ในขณะที่ลูกน้องคนใหม่เป็นชาย อายุ 26 ปี ซึ่งกำลังฝึกงานเติมสารเคมี ถังที่บรรจุกำมะถันเกิดหลุดมือ ตกลงไปกับพื้น หกกระจาย ทำให้พนักงานที่อยู่ใกล้เคียงเกิดสูดดมสารกำมะถันเข้าไป หมดสติกันไปหลายคน ต้องรีบนำตัวออกมาด้านนอกโรงงาน เบื้องต้น เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้นำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งโรงพยาบาล พร้อมชื่อสารเคมีที่สูดดมเข้าไป เพื่อให้แพทย์ทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง
ชายพลัดตกถุงบิกแบ็ก เสียชีวิต จ.สมุทรสาคร
จังหวัดสมุทรสาคร ตำรวจพบศพแรงงานชาวเมียนมาเสียชีวิตอยู่ในซอกระหว่างกองถุงบิกแบ็กขนาดใหญ่ ต้องใช้รถยกมายกเอาถุงบิกแบ็กออกทีละถุง จึงจะสามารถนำศพออกมาได้
สอบถามพี่ชายของ นายวาเจ ซึ่งเป็นคนงานภายในโรงงานที่เกิดเหตุ เล่าว่า น้องชายไม่ได้พักอาศัยหรือทำงานอยู่ที่นี่ แต่ได้มาหาพี่ชายตั้งแต่เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แล้วก็นั่งดื่มสุรากับเพื่อนของพี่ชาย พอตกค่ำน้องชายได้มาขอผ้าห่มเพื่อที่จะไปหาที่นอนภายในโรงงาน เพราะเกรงใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ หลังจากนั้น น้องชายก็หายไป โดยพี่ชายคิดว่าน้องชายคงจะกลับไปแล้ว กระทั่งมาตอนค่ำของวานนี้ (6 มี.ค.) ขณะที่พี่ชายกำลังจะออกมาจากโกดังเก็บพลาสติก ก็ได้กลิ่นเหม็น จึงเดินหาที่มาของกลิ่น แล้วก็พบว่าเป็นน้องชายเสียชีวิตอยู่ในซอกระหว่างถุงบิกแบ็ก จึงได้แจ้งตำรวจมาตรวจสอบ เบื้องต้น ตำรวจคาดว่า นายวาเจ น่าจะดื่มสุราจนเมา จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนกองถุงบิกแบ็ก แต่เกิดพลาดพลัดตก เสียชีวิตผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เคมี รั่ว

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

ตรวจสอบแล้ว! สารเคมี ใน ซ.พหลฯ24 เป็น อีลีเดียม 192

เจ้าหน้าที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเข้าตรวจสอบถังสารเคมีที่พบในซอยพหลโยธิน 24 แยก 2-1 ไม่ใช่กัมมันตรังสี ชนิดโคบอลต์60  แต่เป็นสารอีลีเดียม 192 ไม่พบการรั่วไหล
คืบหน้าล่าสุดเจ้าหน้าที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ยืนยันสารเคมีที่พบไม่ใช่โคบอล์ต 60 ไม่มีการรั่วไหล ระบุเป็นอีลีเดียม 192 ใช้ตรวจรอยเชื่อมในภาคอุตฯ ระดับรังสีหมดลงแล้ว พร้อมระบุว่าแม้ตรวจจสอบพบว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะใช้งานและระดับรังสีหมดไปแล้ว ก็จะเคลื่อนย้ายไปไว้ที่สำนักงานเพื่อให้ประชาชนมั่นใจ
โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนี้สามารถตรวจสอบได้ว่าบริษัทใดเป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ การนำมาทิ้งไว้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสอบสวนต่อไปเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ส่วนใครที่พบเจอวัตถุต้องสงสัยที่มีสัญลักษณ์เกี่ยวกับรังสี สามารถแจ้งได้ที่ 089-200-6243 ได้ตลอด 24 ชม.
เมื่อเวลาประมาณ 15.20 น. ที่ผ่านมา เพจ FM. 91 Trafficpro ได้รายงานว่าเกิดเหตุสารเคมีรั่วไหลในโกดังสินค้าแห่งซ.พหลฯ 24 เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปรมณูเพื่อสันติ เข้าตรวจสอบแล้ว พร้อมสั่งเร่งอพยพคนออกจากพื้นที่ และประกาศให้ประชาชนที่อยู่บริเวณดังกล่าว ปิดประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
เบื้องต้นคาดว่า เป็น สารกัมมันตรังสีโคบอลต์ 60 ซึ่งเป็นสารอันตราย ที่ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ถูกรังสีนี้จะให้เกิดเม็ดเลือดขาวต่ำ มีอาการอ่อนเพลีย มือไหม้พอง และสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งบางคนมีอาการตื่นกลัวไม่ยอมรักษาโดยวิธีฉายรังสีจากโคบอลท์-60 หรือสารรังสีหรือแร่โคบอลท์-60 ประกอบด้วย รังสีแกมม่าและรังสีเบต้าและรังสีที่ใช้เป็นตัวรักษาเป็นอันตราย
คือ รังสีแกมมา มีแรงทะลุทลวงมากกว่า รังสีเบต้ามากโคบอลท์-60 เป็นสารรังสีที่ใช้ในทางการแพทย์ในไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2501 โดยปัจจุบันใช้เป็นต้นกำเนิดรังสีแกมม่า สำหรับรักษาโรคมะเร็ง โดยอาศัยคุณสมบัติของรังสีที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคมะเร็งได้ และปัจจุบันนี้ก็มีผู้ป่วยมะเร็งชาวไทยจำนวนมากมายที่รอดชีวิตจากโรคมะเร็งเกิน 10-30 ปี

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

สดร.เผยภาพ "ดาวหางจี-แซด" ในวันเข้าใกล้โลกที่สุด


 สดร.เผยภาพ "ดาวหางจี-แซด" ในวันเข้าใกล้โลกที่สุด บันทึกภาพจากกล้องโทรทรรศน์ไทยที่สหรัฐฯ 

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยภาพ “ดาวหางจี-แซด” บันทึกโดยกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกลอัตโนมัติ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ณ หอดูดาวเซียรารีโมท รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2561 มองเห็นนิวเคลียส โคมา และหางฝุ่นของดาวหางอย่างชัดเจน
ภาพ “ดาวหางจี-แซด” (21P/Giacobini-Zinner หรือ G-Z) บันทึกโดยกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกลอัตโนมัติ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ของ สดร. ติดตั้ง ณ หอดูดาวเซียรารีโมท รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2561 เวลาประมาณ 17.55 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ก่อนเข้าใกล้โลกและดวงอาทิตย์มากที่สุดเวลาประมาณ 00.15 น. ในคืนเดียวกัน ปรากฏทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณกลุ่มดาวสารถี มีค่าความสว่างปรากฏสูงสุดประมาณแมกนิจูด 7 จึงมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะความสว่างปรากฏของวัตถุท้องฟ้าที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีค่าประมาณแมกนิจูด 6 ลงไป 
หากใช้กล้องสองตาและกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กกำลังขยายตั้งแต่ 7 เท่าขึ้นไปช่วยสังเกตการณ์จะเห็นชัดเจนขึ้น ดาวหางจี-แซดจะค่อยๆ เคลื่อนมาทางทิศตะวันออก เข้าสู่บริเวณกลุ่มดาวคนคู่ และปรากฏให้สังเกตการณ์จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ที่น่าติดตามคือดาวหางจะเคลื่อนเข้าใกล้กระจุกดาวเปิด M35 หลังเที่ยงคืนของวันที่ 15 กันยายน 2561 เวลาประมาณ 00.30 น. เป็นต้นไป สังเกตการณ์ได้จนถึงรุ่งเช้า 
ดาวหางจี-แซด (21P/Giacobini-Zinner หรือ G-Z) เป็นดาวหางคาบสั้น มีคาบการโคจรประมาณ 6.5 ปี ครั้งล่าสุดโคจรมาใกล้โลกเมื่อปี 2555 และจะโคจรกลับมาเข้าใกล้โลกอีกครั้งในปี 2568 แต่ความสว่างปรากฏอาจลดลง เนื่องจากสูญเสียมวลสารเมื่อได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์จนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆที่มา

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

สเปซเอกซ์ประกาศส่งทัวร์ไปดวงจันทร์ด้วยจรวดใหม่ใหญ่กว่าเดิม

จากเดิม “สเปซเอกซ์” วางแผนส่งนักท่องเที่ยวไปทัวร์ดวงจันทร์ด้วยจรวดฟอลคอน แต่ล่าสุดได้ออกมาประกแผนใหม่ส่งคนไปด้วยจรวดรุ่นใหม่ “บิกฟอลคอน” ใหญ่กว่าเดิม ส่วนรายละเอียดจะแถลงเพิ่มเติมภายหลัง
สเปซเอกซ์ (SpaceX) บริษัทขนส่งอวกาศของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผู้ผลิตรถพลังงานไฟฟ้าเทสลา (Tesla) ประกาศแผนใหม่ที่จะส่งนักท่องเที่ยวไปโคจรรอบดวงจันทร์ โดยจะใช้จรวด “บิกฟอลคอนรอคเกต” (Big Falcon Rocket) หรือ BFR จรวดรุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัท
เดิมสเปซเอกซ์จะใช้จรวดฟอลคอนเฮฟวี่ (Falcon Heavy) เพื่อนำส่งนักท่องเที่ยวไปเยือนดวงจันทร์ โดยเมื่อเดือน ก.พ.2017 สเปซเอกซ์ได้ประกาศจะส่งนักท่องเที่ยวอวกาศ 2 รายแรกไปโคจรรอบดวงจันทร์ในช่วงปลายปี 2018 นี้ 
ตามแผนเดิมนักท่องเที่ยวทั้งสองจะเดินทางท่องอวกาศด้วยแคปซูลลำเลียงลูเรือดรากอน (Dragon) แคปซูลที่คล้ายคลึงกับงานขนส่งสัมภาระที่สเปซเอกซ์ใช้ชนส่งเสบียงขึ้นไปบนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) อยู่เป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีตั้งข้อสังเกตว่าก่อนหน้านี้หลายเดือนทางบริษัทไม่ได้ออกมาเปิดเผยถึงแผนการส่งนักท่องเที่ยวดังกล่าว อีกทั้งชื่อและสัญชาติของนักท่องเที่ยวอวกาศทั้งสอง รวมถึงจำนวนเงินที่พวกเขาต้องจ่าย ก็ไม่เคยได้รับเปิดเผยใดๆ 
สำหรับแผนล่าสุดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอวกาศที่สเปซเอกซ์ออกมาประกาศนั้น ให้รายละเอียดเพียงว่าจะใช้จรวด BFR ซึ่งเป็นจรวดลำใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อขนส่งมนุษย์ท่องอวกาศไกลๆ 
สเปซเอกซ์ได้ทวีตผ่านทวิตเตอร์ว่า สเปซเอกซ์ได้ทำสัญญาแรกเพื่อส่งผู้โดยสารภาคเอกชนไปโคจรรอบดวงจันทร์ด้วยยานนำส่ง BFR ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสู่ความฝันที่เราทุกคนจะได้ท่องเที่ยวไปในอวกาศ แต่ทางบริษัทก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก โดยระบุว่าจะข้อมูลมากกว่านี้ในวันจันทร์ที่ 17 ก.ย.นี้
นอกจากนี้สเปซเอกซ์ยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมตามที่เอเอฟพีร้อขอ โดยระบุเพียงว่า ในวันจันทร์นี้จะเผยข้อมูลจะเผยระหว่าง 07.30-09.00 น.
สำหรับจรวดลำใหม่ของสเปซเอกซ์นี้เป็นจรวดนำส่งที่มีกำลังสูง โดยมี 31 เครื่องยนต์ และสามารถขนส่งสัมภาระขึ้นสู่อวกาศได้ถึง 150 ตัน และระหว่างปาฐกถาที่ออสเตรเลียเมื่อปีที่ผ่าน มัสก์ได้เคยพูดไว้ว่า เขานั้นคาดหวังว่า จรวด BFR จะส่งสามารถนำส่งและลงจอดยานขนส่งสัมภาระบนดาวอังคารอย่างน้อย 2 ลำได้ภายในปี 2022 
“ผมรู้สึกค่อยข้างมั่นใจว่า เราจะสร้างจรวดเสร็จและนำส่งได้ภายในอีกประมาณ 5 ปี” เอเอฟพีเผยแผนการสร้างจรวด BFR ที่มัสก์เคยระบุไว้เมื่อปีที่ผ่านมาแคปซูลดรากอนสำหรับให้มนุษย์อวกาศนาซาฝึกใช้งาน  (ROBYN BECK / AFP)ที่มา

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

ซีเมนต์กระดูก” ช่วยเซลล์กระดูกเจริญเติบโตได้ใหม่ ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ที่มาhttps://mgronline.com/science/detail/9610000091173

นักวิจัย มทส.พัฒนา “ซีเมนต์กระดูก” ที่มีส่วนผสมกระดูกจริง ช่วยกระดูกเซตตัว มีองค์ประกอบเคมีคล้ายกระดูก ไม่เกิดความร้อน สลายตัวได้ช้าๆ ให้รูพรุน ช่วยให้เซลล์เลือด เซลล์กระดูกและของเหลวในร่างกายเข้าไปเจริญเติบโตได้แทนที่โดยไม่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต 

“ซีเมนต์กระดูกแบบฉีดสำหรับทดแทนกระดูกและสภาวะกระดูกพรุน” โดย รศ.ดร.ศิริรัตน์ ทับสูงเนิน รัตนจันทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ภายใต้โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งได้พัฒนาวัสดุที่เป็นของผสมระหว่างผงของแข็งและของเหลวในอัตราส่วนที่เหมาะสม และมีสมบัติคล้ายซีเมนต์ที่สามารถขึ้นรูปเป็นรูปต่างๆ โดยการปั้นหรือการฉีดผ่านเข็มฉีดยาขนาดเล็ก และเซ็ตตัวได้ในร่างกายโดยไม่เกิดความร้อน 
“จุดเด่นสำคัญยิ่งที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์เดิมคือ เป็นซีเมนต์กระดูกที่มีส่วนผสมในการเกิดปฏิกิริยาในการเซตตัว และได้องค์ประกอบทางเคมีคล้ายกับกระดูกของมนุษย์ สลายตัวได้ในร่างกาย และช่วยส่งเสริมการเกาะของเซลล์กระดูก โดยการสลายตัวจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และให้รูพรุนที่เป็นโครงสร้างในการให้เซลล์กระดูก เลือด และของเหลวในร่างกายเข้าไปภายใน สามารถเกิดเนื้อเยื่อกระดูกใหม่เจริญเติบโตเข้ามาแทนที่ได้โดยไม่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ส่วนผสมประกอบด้วยส่วนเสริมแรง คือ เส้นใยพอลิเมอร์ธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ เพื่อให้เกิดความแข็งแรงเพียงพอในขณะที่เนื้อซีเมนต์บางส่วนสลายตัวไป” 
รศ.ดร.ศิริรัตน์อธิบายอีกว่า ซีเมนต์เชื่อมกระดูกที่มีขายในปัจจุบันและนำเข้าจากต่างประเทศโดยทั่วไปเป็นประเภท PMMA ซึ่งมีข้อเสียในการนำมาใช้งานทางการแพทย์หลายประการ เช่น เกิดความร้อนขณะเซตตัวซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์ตายและเกิดการหลวมระหว่างวัสดุฝังในและกระดูกของผู้ป่วย ไม่สามารถสร้างและยึดเกาะกับกระดูกตามธรรมชาติ และไม่สามารถสลายตัวให้เกิดโครงสร้างยึดเกาะของเซลล์ได้ ทำให้ภายหลังการผ่าตัดวัสดุซีเมนต์เกิดการยึดเกาะไม่ดี หลวม และใช้เวลาในการยึดเกาะนาน ซึ่งจะส่งผลในการผ่าตัดรักษา อาจต้องผ่าตัดซ้ำและเกิดการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อน นอกจากนี้การสลายตัวของซีเมนต์ยังทำให้ความแข็งแรงของซีเมนต์ลดลง 
ยังเป็นผลงานที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ได้ผลักดันสู่เชิงพาณิชย์ด้วยกิจกรรมนำเสนอแผนธุรกิจจับคู่ทางธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยด้านชีววิทยาศาสตร์สู่ธุรกิจและการลงทุนใน “โครงการส่งเสนริมนวัตกรรมชีววิทยาศาสตร์ด้วยการลงทุน” Promoting I with I Espisode 2/2018 Thailand 4.0 โดยร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว). สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 
ดร.นเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการ TCELS กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยและเทคโนโลยีชีวภาพทางด้านวิทยาศาสตร์ รวมทั้งพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ และปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม อีกทั้งเป็นการสร้างโอกาสพัฒนาโครงการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ตอบรับนโยบายประเทศไทย 4.0

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

เชื้อเห็ดรา มีคุณค่ามากกว่าเป็นอาหาร และยารักษาโรค

พวกมันอยู่ทั่วไปทั้งในดิน ในตัวเราและในอากาศ แต่มักมีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
พวกมันเป็นได้ทั้งอาหารและยา ทว่าบางครั้งก็สร้างหายนะใหญ่หลวงด้วยการก่อให้เกิดโรคในพืชและสัตว์
จากการประเมินสภาวะเชื้อเห็ดราในโลกครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก พบว่า อาณาจักรเห็ดรามีความสำคัญต่อชีวิตบนโลกใบนี้
แต่มากกว่า 90% ของเชื้อเห็ดรา 3.8 ล้านชนิดในโลก ยังไม่เป็นที่รู้จักทางวิทยาศาสตร์
ศ. แคที วิลลิส ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงคิว (Kew Gardens) ซึ่งเป็นผู้นำในการทำรายงานนี้ กล่าวว่า "มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมาก แต่เรารู้จักมันน้อยมาก"
"พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก และมีวัฏจักรชีวิตที่ประหลาดมาก กระนั้น เมื่อคุณเข้าใจบทบาทในระบบนิเวศของมัน คุณจะตระหนักว่า พวกมันช่วยค้ำจุนสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกนี้"

เป็นทั้ง "คนดี" และ "ตัวร้าย"

ดร. เอสเตอร์ กายา ผู้นำโครงการวิจัยที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงคิว ซึ่งสำรวจความหลากหลายและวิวัฒนาการ ของเชื้อเห็ดราในโลกนี้ กล่าวว่า เชื้อเห็ดรามีทั้งที่เป็น "คนดี" และ "ตัวร้าย"
"เชื้อเห็ดราชนิดเดียวกัน อาจถูกมองได้ว่าเป็นทั้งอันตราย แต่ก็มีศักยภาพและช่วยให้แก้ปัญหาหลายอย่างได้เช่นกัน"
รายงานนี้ยังได้ระบุถึงช่องว่างหลายอย่างเกี่ยวกับความรู้ของคนเราต่อกลุ่มสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจจะมีคำตอบเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารอยู่ในนั้นก็ได้ อาณาจักรเห็ดรามีเชื้อโรคที่สร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรหลายชนิด แต่เชื้อเห็ดราก็ช่วยสร้างสารอาหารและมีบทบาทสำคัญในการกำหนดระดับคาร์บอนไดออกไซด์
"เรามองข้ามเชื้อเห็ดราซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้" ศ. วิลลิส กล่าว "นี่คืออาณาจักรที่เราต้องเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาภูมิอากาศโลก และปัญหาอื่น ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้"
เห็ดฟีลด์ (Field mushroom)

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

สมองกลยุคควอนตัมพัฒนาไปไกลแค่ไหนแล้ว?

ทุกวันนี้บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายราย ต่างเปิดศึกแข่งขันกันพัฒนา "ควอนตัมคอมพิวเตอร์" สมองกลแห่งโลกอนาคตที่ทรงประสิทธิภาพในการประมวลผลเหนือคอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันนับล้านเท่า ซึ่งแต่ละค่ายก็มีแนวทางและเทคนิคในการพัฒนาแตกต่างกันออกไป เพื่อผลิตควอนตัมคอมพิวเตอร์ออกวางตลาดให้คนทั่วไปใช้งานได้จริงในวงกว้าง
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่คำนวณได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์หลายพันเท่านั้น จะช่วยให้คนเราไขปัญหาซับซ้อน เช่นสามารถจะคิดค้นยารักษาโรคชนิดใหม่ได้เร็วขึ้น ปลดล็อกระบบความปลอดภัยที่เข้ารหัสไว้แน่นหนา ออกแบบวัสดุใหม่ ๆ รวมทั้งพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่มีความฉลาดสูงยิ่งขึ้นได้อีกด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์คืออะไร?
หน่วยพื้นฐานของข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์ธรรมดาทั่วไปคือเลขฐานสอง ซึ่งได้แก่ 0 กับ 1 อันเป็นสัญลักษณ์แทนการเปิดและปิดวงจรไฟฟ้า แต่หน่วยพื้นฐานของข้อมูลในควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าคิวบิต (Qubit) คืออนุภาคมูลฐานในอะตอมเช่นอิเล็กตรอน ซึ่งอนุภาคเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษสามารถอยู่ในสองสถานะได้ในเวลาเดียวกัน ตามหลักการทับซ้อนทางควอนตัม (Superposition)
คุณสมบัติดังกล่าวทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ อย่างที่มาร์ติน ไจล์ บรรณาธิการนิตยสาร MIT Technology Review บอกไว้ว่า "ถ้าคุณมีควอนตัมคอมพิวเตอร์ระดับ 2 คิวบิต และได้เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นเป็น 4 คิวบิตในภายหลัง การทำเช่นนี้ไม่ได้เพิ่มขีดความสามารถของสมองกลขึ้นอีกเท่าตัว แต่ถือเป็นการเพิ่มแบบยกกำลังเลยทีเดียว"

ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาโดย IBM เก็บรักษาคิวบิตนำไฟฟ้ายิ่งยวดไว้ที่อุณหภูมิต่ำImage copyrightIBM
คำบรรยายภาพควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาโดย IBM เก็บรักษาคิวบิตนำไฟฟ้ายิ่งยวดไว้ที่อุณหภูมิต่ำ

นักวิทยาการคอมพิวเตอร์บางคนเปรียบเทียบว่า การประมวลผลแบบควอนตัมนั้นเหมือนกับการที่เราสามารถเดินไปตามเส้นทางต่าง ๆ ที่ซับซ้อนในเขาวงกตได้พร้อมกันหลายเส้นทางในขณะเดียว
นอกจากนี้ อนุภาคที่เป็นหน่วยข้อมูลพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ยังสามารถส่งอิทธิพลถึงกันได้ แม้จะไม่ได้สัมผัสหรือเชื่อมต่อกันทางกายภาพก็ตาม ซึ่งปรากฏการณ์นี้เป็นไปตามหลักการความพัวพันเชิงควอนตัม (Quantum entanglement) ที่ทำให้เกิดการคำนวณอย่างก้าวกระโดดได้
มุ่งค้นคว้าหาความเสถียร
อย่างไรก็ตาม หน่วยพื้นฐานของข้อมูลในควอนตัมคอมพิวเตอร์หรือคิวบิตนั้นมีความเสถียรต่ำ อาจถูกรบกวนจากแหล่งพลังงานภายนอกได้ทุกเมื่อ จนเกิดความผิดพลาดในการประมวลผลได้
สำหรับปัญหานี้ยักษ์ใหญ่อย่างไอบีเอ็มเชื่อว่า เทคโนโลยี Transmon ซึ่งลดระดับความอ่อนไหวของคิวบิตนำไฟฟ้ายิ่งยวด (Superconducting qubits ) ไม่ให้ถูกรบกวนจากพลังงานภายนอกได้โดยง่าย น่าจะเป็นทางออกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในเรื่องนี้ โดยปัจจุบันไอบีเอ็มได้พัฒนาชิปประมวลผลต้นแบบในลักษณะนี้แล้วถึง 3 แบบด้วยกัน
ล่าสุดไอบีเอ็มเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใช้งานควอนตัมคอมพิวเตอร์ของตนซึ่งอยู่ในระบบคลาวด์ได้ โดยปัจจุบันมีผู้เข้าใช้งานแล้วกว่า 94,000 คน โดยใช้ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ไปกว่า 5 ล้านครั้ง และเกิดผลงานเป็นบทความวิชาการทั้งสิ้น 110 ชิ้นภาพกราฟฟิกประกอบ

ข่าวเเละเกร็ดความรู้

นักดาราศาสตร์จี้คืนสถานะดาวเคราะห์ให้พลูโตอีกครั้ง

นับเป็นเวลาถึง 12 ปีแล้วที่สหภาพดาราศาสตร์ระหว่างประเทศ (IAU) มีมติให้ถอดดาวพลูโตออกจากการเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเสนอข้อคิดเห็นที่คัดค้านมติดังกล่าวอยู่หลายครั้ง ซึ่งล่าสุดนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้เผยแพร่งานวิจัยที่ชี้ว่า เหตุผลข้อหนึ่งของไอเอยูที่ทำให้ดาวพลูโตต้องถูกลดชั้นเป็นดาวเคราะห์แคระนั้น ไม่ชัดเจนหนักแน่นและสมเหตุสมผลมากพอ
ทีมนักดาราศาสตร์ที่นำโดย ศ. ฟิลิป เมตซ์เจอร์ จากมหาวิทยาลัย University of Central Florida (UCF) ตีพิมพ์รายงานวิจัยข้างต้นลงในวารสาร "อิคารัส" (Icarus) โดยระบุว่านิยามของดาวเคราะห์ที่ไอเอยูกำหนดขึ้นใหม่เมื่อปี 2006 ในประเด็นที่ดาวเคราะห์จะต้องมี "วงโคจรที่ชัดเจน" (Clear orbit) นั้น เป็นการนิยามที่มีปัญหาและคลุมเครืออย่างมาก
ศ. เมตซ์เจอร์และทีมงานได้สืบค้นทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยทางดาราศาสตร์ทั้งหมดในรอบ 200 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่พบการใช้ข้อกำหนดเรื่องวงโคจรมาเป็นตัวตัดสินว่า วัตถุในอวกาศอันใดอันหนึ่งถือเป็นดาวเคราะห์หรือไม่
"นับแต่ยุคของกาลิเลโอเป็นต้นมา นักดาราศาสตร์โดยทั่วไปยังคงเรียกดวงจันทร์บริวารเช่นดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์ว่าเป็นดาวเคราะห์อยู่ จนกระทั่งไม่นานมานี้เองจึงเริ่มมีการนิยามความหมายของดาวเคราะห์อย่างตายตัวในทศวรรษ 1950 ซึ่งน่าขำว่าเกณฑ์ล่าสุดที่ไอเอยูใช้มากำหนดนิยามนั้น ไม่เคยมีนักดาราศาสตร์คนใดใช้ในการศึกษาวิจัยมาก่อนเลย" ศ. เมตซ์เจอร์กล่าว
  • นาซาพบ "เนินทรายมีเทน" บนดาวพลูโต
  • คาดดาวพลูโตเกิดจากดาวหางนับพันล้านดวงรวมตัวกัน"เรามีหลักฐานว่างานวิจัยกว่า 100 ชิ้นใช้นิยามของดาวเคราะห์ที่ขัดกับหลักเกณฑ์ของไอเอยูอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขาก็ยังคงใช้มันเพราะว่ามีประโยชน์ในทางปฏิบัติจริง ซึ่งดีกว่าจะมายึดติดกับถ้อยคำเพียงอย่างเดียว"
    ทั้งนี้ ดาวเคราะห์ตามนิยามของไอเอยูจะต้องเป็นดาวที่โคจรรอบดาวฤกษ์ มีมวลมากพอที่จะมีแรงโน้มถ่วงรักษาตัวเองให้อยู่ในสภาวะสมดุลอุทกสถิต (Hydrostatic equilibrium ) หรือการมีรูปร่างใกล้เคียงกับทรงกลมนั่นเอง นอกจากนี้ยังต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 500 ไมล์ (ราว 805 กิโลเมตร) ทั้งต้องมีวงโคจรที่ชัดเจนและสอดคล้องกับดาวเคราะห์ข้างเคียงด้วย
    "แต่ไอเอยูไม่ได้อธิบายขยายความว่า การมีวงโคจรที่ชัดเจนนั้นคืออะไรกันแน่ เพราะวงโคจรเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เป็นพลวัตรที่เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา อันที่จริงหากจะตีความนิยามของไอเอยูแบบตรงตามตัวอักษรแล้ว ก็จะไม่มีดาวดวงใดที่เรียกได้ว่าเป็นดาวเคราะห์เลย" ศ. เมตซ์เจอร์อธิบาย
    "นิยามของดาวเคราะห์นั้นควรจะมาจากลักษณะที่เป็นแก่นแท้ตามธรรมชาติของมันมากกว่า เช่นขนาดหรือแรงโน้มถ่วงซึ่งทำให้ดาวเคราะห์นั้นมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่หลากหลายเกิดขึ้น ดาวพลูโตนั้นมีทั้งมหาสมุทรใต้พื้นผิว มีชั้นบรรยากาศที่ซับซ้อนหลายชั้น มีสารประกอบอินทรีย์ มีหลักฐานที่ชี้ถึงการมีทะเลสาบในอดีตและดวงจันทร์บริวารหลายดวง ซึ่งเป็นความหลากหลายที่มากกว่าดาวอังคารเสียอีก"
    "ดาวพลูโตจึงไม่ควรจะถูกตัดออกจากการเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ของระบบสุริยะ เพียงเพราะการนิยามตามอำเภอใจที่ไร้เหตุผลรองรับเช่นนี้" ศ. เมตซ์เจอร์กล่าวทิ้งท้าย


ข่าวเเละเกร็ดคสามรู้

เครื่องพิมพ์3มิติเป็นหนทางที่ดีสำหรับสร้างเเม่เหล็ก อุปกรณ์แม่เหล็กเหล่านี้ไม่เหมือนกับแม่เหล็กที่พวกเราใช้ติดหน้าตู้เย็น แม่เหล็กเหล่าน...